ไขมันในช่องท้อง (visceral fat)
ภัยร้าย ใกล้พุง ที่ไม่ควรมองข้าม
ไขมันในช่องท้อง visceral fat นั้นเป็นเรื่องใกล้ตัวที่อันตรายกว่าที่เราคิด ไม่ใช่แค่คนอ้วนเท่านั้นที่จะพบเจอกับปัญหานี้ คนผอมเองก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะไขมันในช่องท้องได้เหมือนกัน และถ้าหากมีการสะสมในปริมาณมาก ก็มีโอกาสที่จะทำให้โรคร้ายตามมาภายหลังได้ ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายเนื่องจากเผาผลาญไม่หมด ทำให้ไขมันไปเกาะอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะในช่องท้อง ทำให้มีลักษณะลงพุง ย้วย ย้อย ซึ่งถือเป็นจุดที่อันตราย เนื่องจากไขมันช่องท้องเหล่านี้ จะขัดขวางทางเดินของเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกาย และเป็นตัวก่อโรคต่าง ๆ
ภาวะไขมันในช่องท้อง คือ
ภาวะไขมันในช่องท้อง หรือ Visceral Fat เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายรับสารอาหารประเภทไขมันเข้าสู่ร่างกายเป็นจำนวนมาก และร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมดในแต่ละวัน พวก คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลที่ได้รับมากเกินก็จะเปลี่ยนรูปเป็นไขมันเช่นกัน ไขมันที่ได้รับนั้นจะแทรกซึมเข้าไปเกาะติดอยู่ภายในอวัยวะต่างๆ และกล้ามเนื้อหน้าท้องซึ่งนับว่าเป็นไขมันใต้ผิวหนังชนิดหนึ่ง ยิ่งเวลาผ่านไปนานๆ ไขมันชนิดนี้ก็จะมีความแข็งตัวมากยิ่งขึ้น และจะดันให้หน้าท้องของเราป่องออกมาจนเห็นได้ชัดเจนซึ่งถ้าหากเราได้มีการลองอัลตร้าซาวน์ตรวจดู ก็อาจจะพบว่าอวัยวะภายในของเรานั้นถูกห่อหุ้มไปด้วยบางสิ่งที่มีลักษณะเป็นสีออกเหลืองๆ ซึ่งก็คือก้อนไขมันนั้นเอง
สาเหตุสำคัญ อีกประการที่ทำให้เกิดภาวะไขมันในช่องท้อง คือการไม่ชอบออกกำลังกาย ไม่ชอบเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ถึงแม้จะทานน้อย แต่ก็ยังมีโอกาสพบภาวะไขมันในช่องท้องได้ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเผาผลาญพลังงานได้หมดนั้นเอง
การที่เราดูอ้วนนั้น ความจริงแล้วเกิดมาจากการสะสมของไขมันถึง 3 ชนิดด้วยกัน คือ
1.ไขมันในหลอดเลือด
เกิดจากการก่อตัวขึ้นของตะกอนไขมันในหลอดเลือดทั่วร่างกาย หากเกิดการสะสมมากขึ้นก็จะก่อตัวหนาขึ้นเป็นชั้น และแข็งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนก้อนหิน และยังสามารถไปอุดตันการไหลเวียนของเลือดได้ และอาจเป็นสาเหตุให้ออกอาการหลอดเลือดตีบตัน
2.ไขมันใต้ผิวหนัง
เมื่อเกิดการสะสมไขมันในชั้นนี้ เราจะสามารถรู้สึกได้ว่าตัวใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุเกิดจากการสะสมของน้ำตาลที่แปรสะสภาพเป็นไขมัน เกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเรา หรือการที่เราเห็นเป็นผิวเปลือกส้ม (เซลลูไลท์) มองเห็นเป็นพุงหนาๆ ไขมันชั้นนี้ไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงมากนัก เพราะเป็นชั้นไขมันที่เราสามารถกำจัดได้ง่ายกว่าไขมันในส่วนอื่นๆ
3.ไขมันในช่องท้อง
เป็นชั้นไขมันที่อันตรายกว่าไขมันบริเวณอื่นๆมากที่สุด เพราะไขมันชั้นนี้สามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือดไปสะสมตามอวัยวะต่างๆ ได้ อีกทั้งยังเผาผลาญออกให้หมดยากกว่าไขมันในบริเวณอื่นๆด้วย ซึ่งถ้าหากปล่อยไว้นานๆไขมันกลุ่มนี้จะไปขัดขวางทางเดินของเลือดไม่ให้ไปหล่อเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงมีโอกาสป่วยด้วยโรคต่างๆตามมา
รู้ได้อย่างไรว่ามีภาวะไขมันในช่องท้องเยอะหรือไม่
เราสามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ในเบื้องต้น โดยการใช้สายวัดสัดส่วน วิธีการวัดแบบนี้เรียกว่า Waist-to-Hip Ratio Measurement เป็นวิธีที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้การยอมรับ
1. วัดรอบเอว (ส่วนที่คอดที่สุดของหน้าท้อง) ใช้หน่วยวัดเป็นเซนติเมตร
2. ต่อมาก็วัดสะโพก
3. นำตัวเลขรอบเอว มาหารด้วยตัวเลขที่วัดรอบสะโพก จะได้ทศนิยม 2 หลัก
– ในผู้หญิง ถ้าหากได้ค่ามากกว่า 0.80 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
– ในผู้ชาย หากได้ค่ามากกว่า 0.95 แปลว่ามีไขมันในช่องท้องเยอะ
*** แต่ถ้าหากต้องการความแม่นยำในการตรวจเช็คไขมันในช่องท้องจริง ๆ แนะนำให้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลจะดีที่สุด
10 โรคเรื้อรังที่เกิดขึ้นแน่ หากเรายังปล่อยให้ตัวเองลงพุงต่อไป
ไม่ดีแน่หากเรานั้นปล่อยให้ไขมันในช่องท้องของเราสะสมเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ จะส่งผลร้ายต่ออวัยวะหลักๆของเราได้แก่ สมอง หัวใจ ปอด กล้ามเนื้อ และตับ เป็นผลให้โรคต่างๆตามมาดังนี้
1. โรคเบาหวานประเภท 2
เกิดจากการที่ไขมันไปกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน จึงนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานประเภท 2
2. โรคไขมันในเลือดสูง
เกิดจากการที่ร่างกายกระตุ้นการสร้างไขมันเหลว หรือ คอเลสเตอรอลมากกว่าไขมันดี
3. โรคความดันโลหิตสูง
เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับอินซูลินในเลือดสูง จึงนำไปสู่การเป็นโรคความดันโลหิตสูง
4. โรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด
เกิดจากการที่ไขมันไปเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด ส่งผลให้ระบบการไหลเวียนโลหิตผิดปกติ
5. โรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด
เกิดจากการที่ไขมันไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานหนักมากกว่าปกติ
6. โรคอัลไซเมอร์
เกิดจากการที่มีไขมันไปอุดตันตามหลอดเลือดแดง ทำให้สมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอ เกิดอาการสมองฝ่อตัว
7. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
เกิดจากการที่ไขมันสะสมตามผนังหลอดเลือดแล้วไปขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้หลอดเลือดในสมองตีบ นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองได้
8. ภาวะภูมิแพ้
เกิดจากการที่ไขมันไปอุดตันอยู่ตามหลอดเลือดที่ทำให้ร่างกายเกิดการไหลเวียนของเลือดผิดปกติ จึงส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานผิดปกติ
9. ภาวะไขมันพอกตับ
เกิดจากการที่ไขมันไปขัดขวางการเผาผลาญน้ำตาล และยังสามารถนำไปสู่การเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 ได้อีกด้วย
10. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)
เกิดจากการที่ไขมันไปขัดขวางการขยายตัวของปอด ทำให้หายใจไม่เป็นปกติ มีความเสี่ยงที่ร่างกายจะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
โรคร้ายที่เกิดขึ้นแน่
8 วิธีสลายไขมันในช่องท้องที่น่าลอง
1.เน้นอาหารหมู่โปรตีน และไฟเบอร์มากหน่อย
เพราะการบริโภคอาหารประเภทแป้ง ไขมันทรานส์ และน้ำตาล เป็นการสะสมไขมันเพิ่มเข้าไป ดังนั้นขอแนะนำว่า ให้เน้นทานอาหารที่ร่างกายดูดซึมง่าย และเอาไปใช้ในกระบวนการเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ เช่น อาหารหมู่โปรตีน และอาหารจำพวกไฟเบอร์ หรือใยอาหารสูง เช่น ถั่วลิสง เนื้อไก่ ผักบุ้ง อะโวคาโด รวมถึงการเลือกใช้น้ำมันพืชชนิดไม่อิ่มตัวในการปรุงอาหาร เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น
2.บริหารร่างกายให้ครบทุกส่วน
ไขมันในช่องท้องเกิดจากการที่เราไม่ค่อยขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่ค่อยออกกำลังกาย ดังนั้น วิธีกำจัดที่ดีที่สุดก็คือ การออกกำลังกายนี่แหละ สำหรับการออกกำลังกายเพื่อป้องกันภาวะไขมันในช่องท้องที่ดีที่สุดก็คือ ต้องบริหารร่างกายให้ครบทุกส่วนอย่างน้อยวันละ 45 นาที ติดต่อกันสัปดาห์ละ 6 วัน ด้วยวิธีแอโรบิค จ็อกกิ้ง วิ่ง เล่นฟุตบอล ว่ายน้ำ ทำงานบ้าน ปั่นจักรยาน เต้น T25 เป็นต้น
3.พยายามทำอารมณ์ให้เบิกบาน แจ่มใสเข้าไว้
แม้ว่าอารมณ์เครียด หดหู่ ซึมเศร้าทำให้เราอ้วน ส่วนหนึ่งเพราะมาจากการกินให้หายเครียด แต่ก็ยังมีผลการวิจัยพบว่าการที่ไขมันสะสมอยู่ภายในช่องท้องของเราเกิดจากกระบวนการหลั่งฮอร์โมนเครียด คอร์ติซอลที่เพิ่มให้ไขมันสะสมมากขึ้น ดังนั้น เมื่อรู้ตัวว่ากำลังเครียดก็ต้องรีบหาความบันเทิงทำเพื่อปรับอารมณ์ เช่น ฟังเพลง ดูหนัง เป็นต้น
4.หย่าขาดกับบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกฮอล์ทุกชนิด
ไม่น่าแปลกใจถ้าเห็นผู้ชายมักอ้วนลงพุงมากกว่าผู้หญิง ก็พฤติกรรมผู้ชายส่วนใหญ่มักจะจัดหนัก ทั้งเหล้าและบุหรี่มากกว่าผู้หญิง ซึ่งสารประกอบต่าง ๆ ในบุหรี่เพียง 1 มวนสามารถลดระดับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายลงจากปกติถึงได้3% ของน้ำหนักตัว ประกอบกับแคลอรี่ในเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ที่สูงกว่าในเครื่องดื่มทั่วไปที่เมื่อดื่มไปแล้ว ร่างกายจะนำมาสะสมเอาไว้ในรูปของไขมัน แน่นอนว่าหากสังสรรค์แบบนี้ทุกคืนก็ไม่แปลกที่จะลงพุงอย่างเห็นได้ชัด
5.ดื่มนำเปล่าน้อย
การดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 แก้วจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ในอาหารได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้อวัยวะตับและไตไม่ต้องทำงานหนักด้วย ถือเป็นการดีท็อกซ์อวัยวะภายในได้อีกวิธีหนึ่ง
6.เข้านอนแต่หัวค่ำ
การเข้านอนแต่หัวค่ำจะช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเลปติน หรือฮอร์โมนอิ่มออกมาที่ช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายขณะที่เรากำลังหลับ ตื่นเช้ามาเราก็จะไม่มีพุงยื่นใส่ชุดอะไรก็ดูดีไปหมด
7.ใช้ Apple Cider เป็นตัวช่วยย่อยอาหาร
หากใครที่รู้ตัวว่าร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ได้ไม่ดีนัก ก็สามารถใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์เป็นตัวช่วยได้นะคะ โดยการผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์ 1 ช้อนชากับน้ำเปล่า 1 แก้ว ใช้จิบก่อนกินอาหารก็จะช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารของเราให้ทำงานดีขึ้น
8.เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี
การเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีจะช่วยประเมินความเสี่ยงว่าร่างกายเรามีแนวโน้มจะป่วยด้วยภาวะไขมันในช่องท้องหรือไม่ ซึ่งโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปีส่วนใหญ่จะสามารถเช็กผลได้ละเอียดทีเดียว เช่น ตรวจระดับความดันโลหิต ตรวจระดับไขมันในเส้นเลือด ตรวจระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งบางโรงพยาบาลก็มีโปรแกรมตรวจภาวะไขมันในช่องท้องนี้โดยเฉพาะด้วย ดังนั้นถ้าหากสงสัยว่าตัวเองเข้าข่ายภาวะไขมันช่องท้องหรือไม่ก็สามารถไปเช็กให้สบายใจกันได้นะ
ดังนั้น Star Clinic มี 6 นวัตกรรมบอกลาไขมัน พร้อมกระชับสัดส่วน
ไม่ให้คุณจะไม่ต้องเจ็บตัว และไม่ต้องผ่าตัด
1. All New Ultra Shape
เทคโนโลยีล่าสุด ฆ่าเซลล์ไขมันทันทีและถาวร ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น มีงานวิจัยรับรองผลมากกว่า 15 สถาบัน สามรถลดไขมันได้ทุกส่วน รวมถึงไขมันดื้อด้านชั้นลึกได้ถึง 3 ระดับ เช่นหน้าท้อง เอว สะโพก ต้นขา หลังทำสัดส่วน รูปร่างเพรียว หุ่นดูดีที่ทำให้คุณมั่นใจมากขึ้น
2. Coolsculpting
สลายไขมันด้วยความเย็น ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ได้ผลจริงมีงานวิจัยทางการแพทย์ว่าสามารถทำลายเซลล์ไขมันส่วนเกินได้อย่างถาวร ขั้นตอนการทำสะดวก และใช้เวลาในการทำไม่นานครับ จุดละประมาณ 35 นาที ต่อการทำ 1 คัพ
3. Slim Tite
ฆ่าเซลล์ไขมัน ลดเซลลูไลท์ พร้อมกระชับสัดส่วนได้ตรงจุด ไม่มีแผล ไม่ต้องดูดไขมันที่ เพราะเป็นการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ High amplitude pulse ด้วยระดับพลังงานที่เหมาะสมเข้าสู่ผิวที่ทำการรักษาเพื่อกำจัดเซลล์ไขมัน และเป็นพลังงานความร้อนใต้ผิวหนังเพื่อช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ผิว การทำลายเซลล์ไขมันได้อย่างถาวร ส่งผลให้หลังทำสัดส่วนกระชับขึ้น พร้อมทั้งผิวเรียบเนียนไม่หย่อนคล้อย
4. Fat Killer
เป็นกระบวนการทำลายเซลล์ไขมันให้แตกตัวออก และช่วยกระชับสัดส่วนได้เฉพาะจุด เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย หรือผู้ที่กลัวการผ่าตัดดูดไขมัน เป็นเทคโนโลยีที่สามารถช่วยสลายไขมันแล้วยังกระชับสัดส่วนได้ในขั้นตอนเดียวกัน
5. Skinnier Me
Skinnier ME เป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างกล้ามเนื้อ เร่งการเผาผลาญ พร้อมกำจัดไขมัน เหมือนออกกำลังโดยการทำซิทอัพ หรือสควอช 3-50,000 ครั้ง โดยเป็นการเพิ่มขีดจำกัดของกล้ามเนื้อให้ทำงานถึงขีดสุด ไม่ต้องพักฟื้น กล้ามเนื้อหนาขึ้น ไขมันในช่องท้องลดลง ก้นเด้ง แน่น กระชับ
6.Fat Burner IV
ตัวช่วยในการลดน้ำหนัก ลดไขมันในช่องท้องสูตรเข้มข้น สามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญระดับเซลล์ สามารถลดน้ำหนักได้เร็วขึ้น ฟื้นฟูระบบเผาผลาญ ไม่โทรม
***หากสนใจรับบริการ หรืออยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมรวมถึงโปรโมชั่นสามารถติดต่อได้ตามที่อยู่ข้างล่างนี้นะคะ
ทีมแพทย์สตาร์คลินิก มีประสบการณ์ด้านผิวพรรณและศัลยกรรมความงามมากกว่า 15 ปี
เปิดบริการทุกวัน เวลาทำการ 10.00 – 20.00 น.
ปรึกษาหรือสอบถามโปรโมชั่น โทร. 088-004-0005